บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2014

ชีวิตไม่ยาก ถ้าตั้งโจทย์ง่าย

หลังจากที่ผมเขียนถึงหนังสือมาหลายเล่ม วันนี้เดินผ่านร้าน B2S ผมก็ได้พานพบกับหนังสือเล่มเก่าที่คุ้นเคย “ชีวิตไม่ยาก ถ้าตั้งโจทย์ง่าย” ของพี่ตุ้ม คุณหนุ่มเมืองจันท์ พี่ตุ้ม คือคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในชีวิตของผมคนหนึ่ง หลังจากที่ผมก้าวพ้นจากรั้วมหาลัยแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมนั้นง่ายแสนจะง่าย “คุณตั้งโจทย์มา ผมหาทางแก้ไป” โจทย์ยากแค่ไหน ผมก็แก้ได้ เพราะเรียนๆ สอบๆ มาเกือบทั้งชีวิต แต่พอพ้นรั้วมหาลัยแล้ว ผมก็เริ่มจะเห็นในแก่นแท้ของความยากในชีวิต เพราะว่า ไม่มีใครคอยมาตั้งโจทย์ให้ผมแก้อีกแล้ว ผมต้องตั้งโจทย์ชีวิตของผมเอง ผมว่านี่ก็เป็นวิชาที่โรงเรียนไม่ได้สอนอย่างหนึ่งเลยนะ คือวิชา “การตั้งโจทย์ชีวิต” และพี่ตุ้ม ก็สะกิดต่อมคิด ว่าวันนี้ เราตั้งโจทย์ชีวิตอะไรกันอยู่บ้าง บางคน เซ็งกับการแก้โจทย์ไรไม่รู้มาทั้งชีวิต พอเรียนจบปุ๊ป ขอใส่เกียร์ว่างก่อนเลย “หนูไม่เอาอีกแล้ว” บางคน ประสบความสำเร็จมาอย่างสูง ชีวิตหลังเรียนจบ “ขอตั้งโจทย์ยากไว้เลย” ไม่งั้นไม่เท่ การตั้งโจทย์ยากนั้นเป็นของดี ถ้าเราใช้ให้ถูกทิศ มันช่วยเป็นแรงผลักดันในชีวิตเราได้ แต่ก็อย่าย

Asset Rich/ Asset Light

Asset Rich/ Asset Light วันนี้เราเปลี่ยนมาคุยเรื่องยากๆกันบ้างดีกว่า เรื่องยากๆในวันนี้คือเรื่องความแตกต่างระหว่าง business models 2 แบบ คือแบบ Asset Rich และแบบ Asset Light Asset ในที่นี้หมายถึง Total Asset ของบริษัท ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนคือ สินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวร Current Assets + Fixed Assets = Total Assets Business models สองแบบนี้ต่างกันตรงที่ เมื่อได้กำไรกลับมาแล้ว เงินกำไรเหล่านั้นได้ถูกจัดการอย่างไร ใน Asset Rich Model เงินกำไรจะถูกนำไปลงทุนต่อใน Fixed Asset ไม่ได้ปล่อยออกมาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ในขณะที่ Asset Light Model เงินกำไรจะถูกนำมาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ส่วนการขยายงานจะทำในรูปการเพิ่ม Current Asset หรือ Financial Asset แทน ผลกระทบต่อ Business Model ทั้งสองแบบนี้ ต่อฐานะทางการเงินและอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทจะต่างกันออกไป ข้อดีของ Asset Rich Model คือ 1.บริษัทมีความมั่งคั่งที่สะสมอยู่ในรูปสินทรัพย์ถาวรเป็นจำนวนมากกว่า 2.บริษัทสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้มากกว่า ซึ่งจะทำให้กำไรทางบัญชีลดลง แต่ก็จ่ายภาษีและเงินปันผลลดลงด้วย จ

อายุ 4 ประเภท

อายุ 4 ประเภท วันนี้เรามาข้ามในเรื่องการลงทุนไปบ้าง มาพักผ่อนหย่อนใจกับข้อเท็จจริงบางอย่างที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน ถ้ามีใครถามว่าคุณอายุเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าคุณจะตอบเขาไปได้ไม่อยาก อายุของคนเรา โดยทั่วไปจะหมายถึง เดือนและปีในปัจจุบัน ลบด้วย เดือนและปีที่เราคลอดออกมา เช่นถ้า เราเกิดในปี 2527 ปัจจุบัน เราจะมีอายุ 30 ปี นี่เป็นอายุเพียงแบบแรกที่เรียกว่า chronological age คือการนับอายุตามเวลารอบการขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ว่าคนๆนี้ เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นลงมาแล้วกี่ครั้งกี่รอบ อายุแบบที่สอง เรียกว่า documented age หมายถึง อายุตามใบแจ้งเกิด หรือหลักฐานทางราชการ ในช่วงที่การคมนาคมสื่อสาร หรือเทคโนโลยี ยังไม่พัฒนา มนุษย์หลายคนมีอายุตามบัตรประชาชนไม่ตรงตามอายุแบบแรก อายุแบบที่สาม เรียกว่า biological age หมายถึงอายุตามการเสื่อมสภาพของร่างกาย มนุษย์สองคนที่อายุ chronological age เท่ากัน อาจจะมีอายุแบบ biological age ไม่เท่ากัน บางคนอายุ 60ปีแล้วยังดูแข็งแรง ในขณะที่อีกคน อาจกำลังต้องเริ่มฟอกไตแล้ว อายุแบบ biological age ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมคิดว่าก็จะเหมือนรถมือสอง สองคันที่มีอายุก

ทำไมหมอและวิศวกรจึงลงทุนได้เก่ง

เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมวีไอในเมืองไทยหลายคนจึงมีพื้นฐานมาจากวิศวกรและแพทย์ ทั้งที่ในการเรียนการสอนทั้งสองสาขาวิชานี้ ไม่มีเค้าลางในเรื่องของวิชาการลงทุนอยู่เลย หากใครหลายคนติดตามรายการ Money talk เราจะพบว่า คนรวยที่สุด จบวิศวกรแล้วเรียนต่อสาขาทางการเงิน คนรวยอันดับสอง จบแพทย์แล้วเรียนต่อเฉพาะทางการทำคลอด คนรวยอันดับสาม เป็นอาจารย์สอนด้านธุรกิจและการลงทุน คนรวยอันดับสี่ เป็นนักพูด (ขออภัยล่วงหน้านะครับถ้าผมเข้าใจผิด) ผมเคยเห็นกระทู้ในพันทิปเคยโพสถามว่า “ถ้าโตขึ้นอยากเป็นวีไอ หนูควรเลือกเรียนสาขาใดดีคะ” คำตอบมันเห็นๆกันอยู่แล้ว “หนูไปเรียนหมอหรือไม่ก็วิศวกรเถอะจ๊ะ” จบมาแล้วจะได้เป็นวีไอ แน่นอนว่า หมอหลายคนก็ยังคงเจ๊งหุ้น วิศวกรหลายท่านก็ยังติดดอย ปตท. แต่อย่างน้อยหลายท่านก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงลิ่ว ผมก็มีเพื่อนที่เป็นทั้งแพทย์และวิศวกร ดังนั้น “อะไร?” ที่ทำให้สองอาชีพนี้แตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ที่อาจช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการลงทุน อย่างแรก ผมคิดว่าเป็น selective bias  ในประเทศไทย ค่านิยมของสังคมในสมัยผมนั้นนิยมส่งเสริมให้ลูกเรียนแพทย์หรือไม่ก็วิศวกร การแข

ระบบคัดกรองการลงทุน

ระบบการคัดกรอง (Screening) สามารถแบ่งออกได้เป็นสองแบบ คือแบบที่ใช้ค่าของตัวเลขต่างๆมาคัดกรอง (quantitative analysis) กับ แบบที่ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพมาคัดกรอง (qualitative analysis) การคัดกรองโดยการใช้ค่าตัวเลข สามารถทำได้ง่ายกว่า รวดเร็ว สามารถทำการวิเคราะห์ได้อย่างครอบคลุมมากกว่า วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการใช้การจัดอันดับในเชิงปริมาณจากเครื่องมือใน www.settrade.com เช่นสมมุติว่าเราสนใจการลงทุนในหุ้นกลุ่มอาหาร และจะทำการคัดกรองโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ ให้เราทำการค้นหาโดยใช้ชื่อหุ้นหนึ่งตัวในอุตสาหกรรมนั้นที่เรารู้จัก เช่น CPF จากนั้นให้กดไปที่การจัดอันดับในอุตสาหกรรม http://www.settrade.com/C04_08_stock_sectorcomparison_p1.jsp?txtSymbol=CPF เราก็จะพบการจัดอันดับในเชิงปริมาณในด้านต่างๆ เช่น PE, PBV, Dividen, Market Cap ของหุ้นตัวนั้นได้ การคัดกรองโดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทำได้ยากกว่า ใช้เวลา แต่มีความจำเป็นในการวิเคราะห์ในเชิงลึกของหุ้นนั้นๆ เบื้องต้นก็ให้เข้าไปดูสรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียน http://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=CPF&language=th&country=T

สมการความสุข

ความสุขล้วนเป็นสิ่งที่เราทุกคน ปรารถนา ถ้ามีใครบังคับให้เราต้องเลือกร ะหว่าง “ความร่ำรวย” กับ “ความสุข” ผมเชื่อว่า ฝ่ายที่เลือกชีวิตที่มีความสุข จะมีจำนวนมากกว่าอย่างแน่นอน ถ้าใครที่เลือกว่าขอชีวิตที่มีค วามสุข ต้องรู้จัก สมการความสุข สมการ ความสุข = ความเป็นจริง - ความคาดหวัง คนที่มีสมการความสุขเป็นบวก คือคนที่ ความเป็นจริง - ความคาดหวัง เป็นบวก ยิ่งบวกมาก ความสุขก็ยิ่งมาก คนที่มีสมการความสุขเป็นลบ คือคนที่ ความเป็นจริง - ความคาดหวัง เป็นลบ ยิ่งลบมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก ดังนั้น มันจึงเป็นศิลปะในการดำเนินชีวิ ตให้มีความสุข ว่าเราจะบริหารจัดการในเรื่อง ความคาดหวัง และ ความเป็นจริง กันอย่างไร ความคาดหวัง และ ความเป็นจริง เป็นสองสิ่ง ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน ความคาดหวัง มักจะถูกสร้างจากประสบการณ์ในวั ยเด็ก หรือสถานการณ์ในครอบครัว หรือฐานเดิมของแต่ละคน ส่วนความจริง ก็ขึ้นอยู่กับ การกระทำ และ ผลของการกระทำที่สะสมมา คนที่มาจากฐานที่ต่ำ แต่ชีวิตมีการสะสมความพยายามมาอ ย่างต่อเนื่อง สมการก็จะเป็นบวกได้ง่าย ที่น่าสงสาร คือคนที่มาจากฐานชีวิตที่สูงของ พ่อแม่ แต่ประสบเคราะห์กรรม ทำให้การดำเนินชีวิตต้องเปลี

ลงทุนให้ถูกต้อง

ลงทุนให้ถูกต้อง ผมเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ด้วยความรู้ที่เข้าถึงได้มากขึ้น ข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ค่านิยมของสังคมที่ดีขึ้น และความกระตือรืนร้นของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ในวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ผลิตนักลงทุนรุ่นใหม่ๆที่มีคุณภาพมากขึ้นมาเป็นจำนวนมาก นักลงทุนรุ่นใหม่ๆเหล่านี้ ต่างก็อยากกระหายใคร่รู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะลงทุนให้ได้มีประสิทธิภาพ เขาเหล่านั้นได้พยายามคิดหาโมเดลการลงทุนแบบต่างๆ พยายามปรับใช้กับพอร์ทการลงทุนของตัวเอง แต่เหมือนว่า มันยังติดอยู่กับปัจจัยอะไรบางอย่าง ที่ทำให้การลงทุนของเขายังไม่สามารถให้ผลตอบแทน คุ้มกับการลงทุนลงแรงไปอย่างเต็มที่ ทำอย่างไร เราจึงจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้สูงขึ้น โดยใช้เงินลงทุนเท่าเดิม วันนี้ ผมมีข้อเตือนใจที่ผมใช้ มาแชร์เพื่อใช้เป็นข้อพิจารณาในการตัดสินใจในการลงทุนของทุกท่าน ให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน ให้สมกับที่เราลงทุนลงแรงไป จะลงทุนให้ได้ดีนั้น เราจะต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญสี่ประการ องค์ประกอบทั้งสี่อย่างนี้ สำคัญไปไม่น้อยกว่ากัน เราไม่สามารถจะมองข้ามปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดไปได้ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ได้แก่