บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2016

การประยุกต์ใช้ความสามารถทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์

จากทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ เราจะเห็นได้ว่า "เงิน" มีบทบาทที่สำคัญหลายประการในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ในลำดับแรก เงินมีความสำคัญในการซื้อหาปัจจัยสี่ที่ดีเพื่อการดำรงชีวิต เราต้องการเงิน เพื่อการมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่สะอาด ปลอดภัย มั่นคงถาวร เพื่อการพักผ่อนที่ดีมีคุณภาพ ต้องการเงินเพื่อหาซื้ออาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และการรักษาโรค เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเอง และสมาชิกในครอบครัว เงินมีความจำเป็นมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อซื้อหาในสิ่งที่เราไม่สามารถผลิตเองในครัวเรือนของเราได้ ในปัจจุบัน การผลิตทุกอย่างเพื่อใช้เองในครัวเรือน ถูกทดแทนด้วยการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เงินจึงถูกใช้เพื่อเป็นตัวกลางในการกระจายปัจจัยสี่ และสินค้าทั้งหลายไปสู่ครัวเรือนต่างๆ การมีเงินออมที่มากขึ้น ก็ย่อมที่จะเพิ่มความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ในการดำรงชีวิตที่มากขึ้น จะเห็นได้ว่า เงินมีความจำเป็นมาก ในการตอบสนองความต้องการในขั้นที่หนึ่งและสองของมนุษย์ ความต้องการในขั้นถัดมา คือความต้องการให้คนอื่นมารัก และถูกเป็นเจ้าของโดยผู้อื่น ในขั้นนี้ เงินเริ่มมีบทบาทที่น้อยลง กลายเป็น &qu

ทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs)

ความต้องการของมนุษย์มีมากมายหลายด้าน และมนุษย์อยากให้ความต้องการของตนเองได้รับการตอบสนอง มาสโลว์ (1) เป็นนักจิตวิทยาที่ได้ทำการศึกษาเรื่องความต้องการของมนุษย์ และได้อธิบายออกมาเป็นทฤษฎีของเขาที่เรียกว่า ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ โดยเขาพบว่า ในบรรดาความต้องการทั้งหลายของมนุษย์นั้น แบ่งหมวดหมู่ออกได้เป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีความต้องการเป็นลำดับขั้น เริ่มจาก 1.ความต้องการทางด้านสรีรวิทยาเพื่อความอยู่รอดของชีวิต (Basic Physiological Need)  คือความต้องการปัจจัยทางชีวภาพ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต หากเราขาดสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดสิ่งเหล่านี้ ร่างกายก็จะกระตุ้นระบบการเอาชีวิตรอดให้เราเสาะหาสิ่งเหล่านี้มาเติมให้เติม เป็นเบื้องต้น ความต้องการเหล่านี้ได้แก่ อากาศ (หรืออ๊อกซิเจน) น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม (เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่) การพักผ่อน การขับถ่ายของเสีย ความต้องการเหล่านี้ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่เท่ากัน เช่น อากาศหายใจมีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าน้ำ น้ำมีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าอาหาร การพักผ่อนเราก็สามารถเลื่

GDP คืออะไร

GDP คืออะไร GDP เป็นตัวย่อของคำว่า Gross Domestic Product ซึ่งหมายถึง "มูลค่า" ของสินค้าและบริการ "ขั้นสุดท้าย" ที่ "ผลิต" ขึ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด (1ปี) รัฐบาล และ ภาคการเงิน จะให้ความสำคัญต่อตัวเลขนี้มาก เพราะข้อมูลนี้ จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายแก่หน่วยปฏิบัติที่อยู่ในส่วนล่าง (Top Down decision) ในขณะที่หน่วยผลิตซึ่งใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากกว่า อาจจะขอข้อมูลทางตรงจากผู้บริโภคได้ และอาจจะต้องใช้ชุดข้อมูลที่ต่างจากรัฐบาลและสถาบันการเงินในการตัดสินใจ มากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือ GDP GDP วัดมูลค่าจากส่วนใดมารวมกันบ้าง? 1.การบริโภคภาคเอกชน (ครัวเรือน) 2.การลงทุนภาคเอกชน (การบริโภคของผู้ผลิต) 3.การใช้จ่ายของภาครัฐ (การลงทุนของรัฐ) 4.การส่งออก - การนำเข้า (การบริโภคโดยผู้อื่น) GDP = C + I + G + (X - M) C = domestic Consumption  I = Invest by private sector G = Government spending X-M = Export - Import GDP ไม่ได้นับรวมอะไรบ้าง? 1.การผลิตเพื่อบริโภคเอง (เช่นปลูกผักกินเอง) 2.เงินโอน (เช่น การโอนเงินระหว่างบัญชี, เงินในบัญชี) 3.สินค้าขั้นกลาง (in

ระบบในทางเศรษฐกิจ

ระบบในทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจก็เปรียบเสมือนร่างกายมนุษย์ ที่ประกอบด้วยส่วนประกอบย่อยต่างๆมากมาย ส่วนประกอบย่อยนั้นถูกเรียกว่า "หน่วยทางเศรษฐกิจ" ซึ่งหน่วยทางเศรษฐกิจนี้จำเป็นที่จะต้องมีประสิทธิภาพในตัวมันเอง และยังต้องทำงานสอดคล้องประสานกันอย่างดีด้วย เศรษฐกิจในภาพรวม จึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี ระบบเศรษฐกิจนั้น แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆได้แก่ 1.กลุ่มทรัพยากรการผลิต 2.กลุ่มการเงิน 3.กลุ่มบริโภค 4.กลุ่มผู้ผลิต (สินค้าและบริการ) วัฏจักรทางเศรษฐกิจจะเริ่มจาก ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ผู้ผลิต ผลิตสินค้าออกมาจากกลุ่มทรัพยากรที่มีอยู่ โดยมีภาคการเงินเป็นทั้งตัวกลาง และผู้สนับสนุนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ความต้องการของผู้บริโภค ได้รับการตอบสนอง ผู้เล่นทั้งสี่คนจะทำการพบปะแลกเปลี่ยนกันใน "ตลาด" เช่น ตลาดวัตถุดิบ ตลาดการเงิน ตลาดของสินค้า ตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ การมีระบบตลาดที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้เกิดการประสานงานทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เศรษฐกิจมักจะถูกนับในเชิงปริมาณมากกว่าในเชิงคุณภาพ สาเหตุเพราะสามารถทำได้ง่ายกว่า และสามารถสร้างแบบจำลองทางเศรษฐกิจได้ง

ความรู้เบื้องต้นสำหรับการลงทุนในทองคำ

ความรู้เบื้องต้นสำหรับการลงทุนในทองคำ ทองคำเป็นโลหะที่มนุษย์ให้ราคาสูงกว่าแร่ธาตุอื่นๆมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาจจะเป็นเพราะความหายาก ความสวยงาม การที่ไม่เปลี่ยนคุณสมบัติตามเวลา สามารถขึ้นรูปได้หลากหลายรูปแบบ ฯลฯ เงินตรา (Currency) นั้น มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะไปตามแต่ละยุคสมัย แต่ทองคำ ยังมีสถานะเดิมอยู่ในอารยธรรมของมนุษย์ ในฐานะโลหะมีค่า ที่สามารถให้ความสวยงาม คงทน และยังสามารถใช้แสดงฐานะทางสังคม ฯลฯ เนื่องจากทองคำมีลักษณะการด้อยค่าตามเวลา (depreciation) ที่ต่ำมาก มันจึงเหมาะที่จะถือไว้เป็นจำนวนมากในช่วงที่สินทรัพย์อื่นๆ เช่นหุ้น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ มีราคาลดลงแรง (depreciation) ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ข้อดีอันนี้ ก็คือข้อเสียของทองคำเช่นกัน คือมันเพิ่มค่าในตัวมันเองได้น้อยมาก ทองคำนั้นไม่แบ่งตัว ไม่ออกลูก ไม่ปันผล ไม่จ้างงาน ไม่ได้ค่าเช่า ฯลฯ สมมุติว่าเรามีสิ่งที่มีค่าเพิ่มขึ้น แต่เราคิดว่ามันน่าจะเพิ่มขึ้นชั่วคราว เช่น สินค้าที่ขายอยู่อาจจะหมดความนิยมในอนาคต เราอาจจะแบ่งความมั่งคั่งส่วนหนึ่งของเรามาถือสินทรัพย์ที่ไม่ด้อยค่าลงพร้อมๆกัน (เช่นทองคำ) ไว้บ้าง จะได้มีทุน สำหรับการเ

ใครจะรับภาระนี้ไป

ท่านผู้อ่านหลายคนน่าจะรู้จัก ไมเคิล อี พอร์เตอร์ (Michael E. Porter) ผู้นำเสนอแนวคิดเรื่อง 5 Force Model ทางธุรกิจ   ในการที่จะเป็นนักลงทุนให้ประสบความสำเร็จ  เราควร เน้นย้ำในเรื่องการลงทุนแบบโฟกัส และลงทุนด้วยเงินลงทุนที่มาก ถือหุ้นด้วยเงินทุนส่วนใหญ่ตลอดเวลา ซื้อมาในราคาที่เหมาะสม และถือครองบริษัทหนึ่งๆไปจนกว่ามันจะไม่เป็นบริษัทที่น่าลงทุนอีกต่อไป คำว่าเป็นบริษัทนี้ เป็นบริษัทที่น่าลงทุนและไม่น่าลงทุนนั้น เป็นคำที่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้พูดคนนั้นๆเป็นอย่างมาก เป็นคำที่เราไม่ควรใช้ คำที่ผมแนะนำให้ทุกท่านใช้แทนในการสื่อสารถึงหุ้นที่ดีหรือน่าลงทุนนั้นคือคำว่า " การได้เปรียบในทางธุรกิจในเชิงผลกำไร " (Economic advantage) ว่าบริษัทที่เราจะนำเงินไปลงทุนนั้นมี Economic advantage หรือไม่ เช่นถ้าจะถามว่า " การบินไทย " เป็นหุ้นที่ดีหรือไม่ดี อย่าถามเช่นนี้ เป็นคำถามที่ไม่ดี ให้ถามว่า การบินไทยเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบทางธุรกิจในเชิงผลกำไรหรือไม่ หรือ การบินไทยมี Economic advantage หรือไม่ จะช่วยให้เข้าใจตรงกันได้มากขึ้น พัฒนาไ

เคล็ดลับทำการลงทุนให้อร่อย

วันนี้เรามาเรียนเรื่องการลงทุนแบบเบาๆกันดีกว่า   บทเรียนในวันนี้คือ " เคล็ดลับการทำการลงทุนให้อร่อย " การทำการลงทุนให้อร่อยนั้น มีความคล้ายกับการลงมือทำอาหาร เรามาดูกันว่า สูตรเด็ด หรือเคล็ดลับ ในการทำอาหารและการลงทุนให้อร่อยนั้นมีอย่างไรบ้าง 80% ของความอร่อยของอาหารนั้นมาจาก " วัตถุดิบ" ถ้าวัตถุดิบอร่อยและคุณภาพดีมาก เราแทบจะไม่จะไม่ต้องปรุงหรือแต่งรสชาติใดๆเลย แค่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จัดลงจาน ก็เสริฟได้ แพงกว่าเอาไปปรุงเสียอีก การลงทุนในหุ้นเกรดเอนั้น เราแทบไม่ต้องทำไรมาก   ไปตลาด ซื้อ เอาเข้าตู้เย็น ค่อยๆเอาออกมากินเวลาหิว ความยากของการลงทุนในหุ้นเกรดเอคือ ราคาหุ้นจะแพงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเสมอ ดังนั้น วันเวลาที่จะไปจ่ายตลาดจึงสำคัญ เราควรไปซื้อในช่วงที่มีเทศกาล " ลดราคา " อย่าไปซื้อตอนหน้า " ไฮซีซั่น " เด็ดขาด ในหน้าโลว์ ไม่หนาวไปก็ฝนตก คนเลยไม่ออกมาแย่งเราซื้อ ดังนั้น อย่ากระบิดกระบวยในเวลายากลำบากเหล่านี้ รีบแต่งตัวออกจากบ้าน อย่ารอให้ฝนหยุด อากาศดี ไม่มีทางที่แม่ค้าจะยอมลดราคากั

งานกับเงิน

ปัจจุบันนี้มีคนตั้งข้อสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆว่า คนที่ได้ปริญญาจบด้อกเตอร์ เรียนมาตั้งนานแต่กลับได้เงินเดือนรวยน้อยกว่าคนจบ ม . ปลายที่ทำธุรกิจบางคนซะอีก โลกเรามีอะไร ผิดปกติเหรอ ? อย่าเรียนมันซะเลยดีมะ ปัญหาในข้อนี้ที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรียนไม่ได้สอนเราเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง " งานกับเงิน " และคนส่วนใหญ่เชื่อว่า งานคือเงิน " คนเราควรทำงาน เพื่อผลงาน " ไม่ใช่ทำงาน เพื่อเงิน ถ้าจะทำเงินแล้วละก็ อย่ายืดติดอยู่กับงาน ให้มุ่งไปที่การทำ " เงิน " เลยดีกว่า งานบางงาน ผลงาน = เงิน ก็เป็นงานที่น่าทำ แต่เราต้องแน่ใจว่า เราเก่งจริง งานเราดี " ต่อผู้อื่น " จริง เขาก็จะจ่ายเราเท่ากับผลงาน นี่คืองานส่วนใหญ่ งานบางงาน ผลงานมาก ได้เงินน้อย งานเหล่านี้อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนในด้านการเงินเพียงอย่างเดียวก็ได้ คิดดูดีๆ เราเพียงแต่ต้องเพิ่มช่องทางการหารายได้อื่นเสริม สุดท้าย งานบางงาน ทำน้อย ได้เงินเยอะ งานประเภทนี้ ส่วนสำคัญมักอยู่ที่หลังฉาก หน้าฉาก คนเลยเห็นว่าไม่ต้องทำอะไร และที่สำคัญคือ " มักมีที่

ลงทุนอย่างนักปีนเขา

ความเข้าใจพื้นฐานหากต้องการที่จะร่ำรวย คือการใช้ชีวิตอยู่กับสมการ ความมั่งคั่ง = ทำงาน + เก็บออม + ลงทุน ในตอนแรกๆ แน่นอน ในการสร้างชีวิต ฐานะ และครอบครัว มันย่อมจะต้องเป็นเช่นนั้น   ไม่มีใครที่จะไปถึงยอดเขา โดยไม่เริ่มจากตีนเขา กลางเขา จนไปถึงยอดเขา การทำงาน เก็บออม และลงทุน จึงเป็นรากฐานเบื้องต้นของความร่ำรวย ที่จะต่อยอดจากตัวฐานอันนี้ขึ้นไป หากเราลองมองดูชีวิตของตนเอง และของผู้อื่นรอบๆตัวเรา เราก็จะพบความจริงที่ว่าชีวิตของคนเรานั้นเริ่มต้นในจุดที่ต่างกัน ไม่มีใคร " เลือกเกิดได้ ”  จุดเริ่มต้นในการปีนเขา หรือการเริ่มของชีวิตเราในแต่ละคนนั้นจึง " ไม่เหมือนกัน " แต่ที่เหมือนกันคือ " ยิ่งภูเขานั้นปีนยาก " หากทำสำเร็จ " เราก็จะยิ่งภาคภูมิใจ ” เหมือนยอดเขา " ยิ่งยาก คนก็ยิ่งอยากปีน ยิ่งปีนสำเร็จก็จะยิ่งภาคภูมิใจ " ว่างั้นเถอะ ... หลายคนอาจจะเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีเพียบพร้อม ปัญหาเรื่องการเงิน เรื่องการงาน เรื่องความสัมพันธ์ของคนที่บ้าน และสุขภาพ

ทำไมกูเกิ้ลหรือเฟสบุ๊คจึงรวยมากกก

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนที่ปล่อยให้เราใช้ของฟรี จึงรวยมากกกกก มากจนติดอันดับโลก ทั้งเฟสบุ๊ค กูเกิ้ล หรือ ไลน์ ผมเชื่ออย่างแน่นอนว่า ถ้าบริการเหล่านี้ให้บริการแบบคิดเงินแล้วละก็ การเปลี่ยนผ่านคงจะไม่ง่าย และบริษัทก็คงจะไม่รวยขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มีวิชาเศรษฐศาสตร์สาขาใหม่ที่ว่าด้วย " ของฟรี " (free economy) ผมคิดว่า free economy ยังไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และผมก็ไม่เชี่ยวชาญพอที่จะถ่ายทอด รู้แค่เพียงว่า ใครล่ะที่จะไม่ชอบของฟรี ในกฏทางเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม เราเชื่อเรื่อง "There is no free lunch" โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ฟรีนี่ ไม่เอาก่อนนะ ของฟรี จริงๆแล้วนั้นไม่ฟรีหรอก เพราะผู้ประกอบการเขาก็มีต้นทุนกันทั้งนั้น   ที่เสนอแบบฟรีได้เพราะ คนใช้งาน กับคนจ่าย เป็นคนละคนกัน แค่นั้น รักษาพยาบาลฟรี รัฐจ่าย บินฟรี คนจองช้าจ่าย ดูฟรี คนซื้อโฆษณาจ่าย บ้านฟรี คนเช่าจ่าย .... ฯลฯ มี business model แบบนี้กันอยู่ด้วยนะ อย่าลืมไป ทีวีดิจิตอลที่ป่วยกันอยู่จนจะไปไม่ไหวกันในทุกว

กฏ 10%

นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีผู้หนึ่ง ชื่อพาเรโต ได้เสนอข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ความมั่งคั่งของประเทศอิตาลีในสมัยนั้น 80% ถูกถือครองด้วยคนเพียง 20% https://en.wikipedia.org/?title=Vilfredo_Pareto ปัญหาการกระจายรายได้หรือทรัพยากร ไม่ได้เพิ่งเกิดมาในสมัยปัจจุบัน เพียงแต่ในปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูลและการสื่อสารที่สะดวกง่ายดายขึ้น ทำให้เราเห็นสิ่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น ข้อสังเกตของพาเรโตในยุคนั้น ยังปรากฏให้เห็นในการศึกษาในเรื่องอื่นๆต่อมา ล้วนแต่แสดงให้เราเห็นว่า ทรัพยากรมีค่าทั้งหลายที่มีจำกัดนั้น มิได้มีการกระจายอย่างสมดุลกัน ผมคิดว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คงจะสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยาก ลองมาดูตัวอย่างดังนี้ดู โดยผมจะขอเปลี่ยนเป็นกฏ 10% เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 10% และ 90% ที่ว่านั้น เราลองมาคิดกันเล่นๆว่า จะนำไปใช้ในเรื่องอะไรได้บ้าง เวลา 90% เราหมดไปกับหน้าที่ เพียง 10% ที่หมดไปกับสิ่งที่เรารัก การทำสิ่งที่เรารัก กลายเป็นความสุข 90% ในชีวิต เงิน 90% เราหมดไปกับสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ 10% ที่เหลือเป็นเงินลงทุน 90% ของความมั่งคั่งในตอนนี้

ความเท่าเทียม...ไม่มีจริง

ความเท่าเทียมนั้น เป็นสิ่งที่ปรารถนาลึกๆในใจของมนุษย์ทุกคน มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม และในสังคมของสัตว์ทุกชนิดนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าลำดับชั้นอยู่ ลำดับชั้นนั้นไม่ได้มีไว้ทำโก้แก๋ แต่เป็นสิ่งที่กำหนดทั้งสิทธิและหน้าที่ของสัตว์แต่ละตัวในฝูง หมายความว่า ถ้าสัตว์ตัวนั้น มีลำดับชั้นในฝูงสูง หน้าที่ความรับผิดชอบในฝูง ก็จะสูงมากขึ้นไปด้วย การที่สัตว์สังคมจะยกตำแหน่งลำดับสูงๆให้กับใครหรือคนใด สัตว์ตัวนั้นจะต้องแสดง ความสามารถ ให้ทั้งฝูงได้ประจักษ์กันเสียก่อน ไม่เช่นนั้น ก็จะต้องคงลำดับต่างๆไว้ตามเดิม   ลำดับในฝูง กำหนดตามความสามารถ ไม่เสมอไปที่จะเป็นไปตามอายุ เพศก็มีความสำคัญ เพราะลำดับที่สูงขึ้น ชีวิตก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ถ้าคุณเกลียดใครก็เลื่อนตำแหน่งให้คนๆนั้น การเป็นสัตว์สังคมนั้น ระบบไม่สามารถทำให้สัตว์ที่เป็นสมาชิกทุกตัวเท่าเทียมในสิทธิและหน้าที่ได้ เพราะประโยชน์ของการอยู่เป็นฝูง คือการแบ่งงานกันทำ และการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาไปเฉพาะด้านของสมาชิกในสังคม แล้วทุกคนก็นำผลของงานนั้น มาเป็นผลงานของส่วนรวม   งานบางงานแม้จะดูว่าผู้นำนั้นสำคัญมาก

ความผิดพลาดสองอย่าง

ตลาดหลักทรัพย์มีนักลงทุนออนไลน์หน้าใหม่เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ แม้ว่าใครจะมองว่ามันเป็นสัญญาณลบ แต่ผมกลับมองว่าเป็นสัญญาณบวก เป็นสัญญาณบวกก็เพราะว่า มีคนจำนวนหนึ่ง ที่ได้เริ่มก้าวย่างมาสู่เส้นทางนี้กันเสียที ความผิดพลาดอย่างที่หนึ่งของนักลงทุน คือการที่ยังไม่ได้เริ่มก้าวในเส้นทางนี้กับมันซักที เมื่อใครเริ่มมันแล้ว ผมถือว่ามันเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง .... ความผิดพลาดอย่างที่สองของการเป็นนักลงทุน   " คือการเดินไปไม่สุดทาง " เส้นทางของการดำเนินไปของการเป็นนักลงทุนนั้น มีหลายทางหลายประเภท แต่ทุกทางนั้นก็เหมือนกันหมด นั่นก็คือ เหนื่อย ยาว และไกล มีทางลัด แต่ก็เสี่ยงมากขึ้น ความลังเล ความกลัว ความกังวล ความหลงเพลิดเพลิน การไม่มีเวลาให้ และการหลงทาง คือหนึ่งในหลายอุปสรรคที่จะทำให้ทุกท่านเดินไปไม่ถึงที่สุดในเส้นทางนี้ ยังไม่เริ่มเดิน ก็ผิด เดินไปไม่สุดทาง ก็ผิด เพราะอย่าลืมว่า แม้ท่านจะไม่ได้เดินอยู่ในเส้นทางของการลงทุน ท่านก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เช่นกัน ( ถ้าท่านเดินมันไปสุดทาง ) ถ

แล้วความมืดก็จะหายไป

โลกมีกลางวัน กลางคืน ผู้ชาย ผู้หญิง ความดี ความชั่ว การเกิด การตาย ความสุข ความเศร้า ฯลฯ ของเหล่านี้ เรียกว่าสิ่งที่มาเป็นคู่ คือสิ่งที่มีลักษณะตรงข้ามกัน เมื่อมีสิ่งหนึ่งในขณะใด ก็จะไม่มีอีกสิ่งหนึ่งที่คู่กับมัน ในเวลาเดียวกัน ณ ที่เดียวกัน ในสิ่งเดียวกัน ตลาดรุ่งเรือง หรือตลาดที่ซบเซา ก็เป็นของที่เป็นคู่กัน แม้เราจะเห็นว่ามันเป็นคู่ แต่จะไม่มีทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกัน ณ ตลาดเดียวกัน ถ้าจะทำเรื่องนี้ให้เห็นเป็นภาพ ลองสร้างภาพแกน X ที่มี จำนวนที่เป็นลบอยู่ด้านหนึ่ง ตรงกลางเป็นศูนย์ และมีจำนวนที่เป็นบวกอยู่อีกด้านหนึ่ง แท้จริงแล้ว ของคู่ที่กล่าวถึงไปทั้งหมดนี้นั้น ก็คือสิ่งๆเดียวกัน ไม่ได้แยกขาดจากกัน เพียงแต่มันวิ่งไปมาอยู่ระหว่าง ค่าลบ ศูนย์ และค่าบวก อยู่ตลอดเวลา เช่นความสุขก็คืออารมณ์ที่มีค่าบวก เฉยๆก็คืออารมณ์ที่มีค่าศูนย์ ความเศร้าก็คืออารมณ์ที่มีค่าลบ เมื่อมันอยู่ที่ค่าลบ เราย่อมไปชอบใจ เมื่อมันอยู่ที่ค่าบวก เราก็ชอบใจ แต่สิ่งต่างๆบนโลกล้วนแต่เดินไปตามลักษณะตามธรรมชาติของมัน มันไม่ได้สนใจว่าเราจะคิดกับมันยังไง

ราคา คุณภาพ หรือจังหวะเวลา

นักลงทุนที่เชี่ยวชาญแล้วจะไม่เชี่ยวชาญไปทุกเรื่อง ทางเลือกของความเชี่ยวชาญในการลงทุนจะแบ่งออกได้เป็นสามกรณีหลักๆคือ 1. นักลงทุนที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ราคาถูก ที่กำลังประสบปัญหา 2. นักลงทุนที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง 3. นักลงทุนที่อาศัยการจับจังหวะเวลา ถ้าจะถามผมว่าการลงทุนแนวไหนที่ง่ายที่สุด และเสี่ยงน้อยที่สุด ผมตอบได้เลยว่า คือ การลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง การลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูงมีข้อได้เปรียบกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วๆไปอย่างไรบ้าง 1. ของคุณภาพสูงจะมีความต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในเวลาใดหรือราคาใด ถ้าผู้ซื้อมีกำลังพอ เขาจะพิจารณามันเป็นอย่างแรก 2. ของคุณภาพสูงมี supply จำกัด ดังนั้น demand มากหรือน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก เพราะสินค้าเหล่านี้มักจะขาดแคลนเสมอ 3. เมื่อมีความขาดแคลนอยู่เสมอ ราคาจึงย่อมไม่เป็นไปตามวัฏจักรเช่นสินค้าทั่วไป 4. ของคุณภาพสูงย่อม ดึงดูด ทั้งนักลงทุนคุณภาพสูง พนักงานคุณภาพสูง ลูกค้าคุณภาพสูง ซึ่งจะทำให้มันปลอดภัยจากความผันผวนต่างๆ 5. ของคุณภาพสูง แม้แต่คนธรรมดาก็ยังแยกแยะมันได้ มันจึง

คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณเหลือเงินอยู่แค่ 18,250 บาท

เงิน 18,250 บาทนั้นแทบจะไม่มีค่าแล้วในปัจจุบัน การใช้เงินจำนวนนี้ให้หมดไปภายในวันเดียวเป็นเรื่องง่ายมาก ผมขอยืนยัน ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาผมเหลือเงินอยู่ทั้งหมดแค่ 18,250 บาท จริงๆนะ ความรู้สึกแรกเลยนะคือ " ใจหาย " ว่าทำไมเงินที่เราเคยมีมากมายทำไมถึงเหลือแค่นี้ แม้ว่าจะทำใจได้ยาก แต่ไม่เป็นไร ความจริงก็คือความจริง ผมเข้าใจ ว่ากันตามตรง ผมคงไม่คิดที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยการขโมยเงินของใคร หรือยืมเงินของใคร เพราะคนอื่น ก็คงอยากจะเก็บมันไว้ใช้ยามจำเป็น เหมือนๆกันกับผม เงินเราคงเหลือน้อยเหมือนกันหมด ถ้ามันถึงตาจนเข้าจริงๆ การประหยัด  คือสิ่งที่ผมจะทำเป็นอย่างแรก ต่อไปนี้ผมคงจะลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุด จะใช้มันแค่วันละบาทเท่านั้น และจะคงจะคิดให้ดีมากๆก่อนจะใช้ ในขณะเดียวกัน ผมก็จะ  พยายามหารายได้  เพิ่มมากขึ้นด้วย แม้จะได้ค่าจ้างอาจจะแค่เพียงวันละบาทก็ตาม ก็ดีกว่าจะต้องเอาเงินเก็บที่มีออกมาใช้เพียงอย่างเดียว   คงต้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด ก่อนที่เงินทั้งหมดที่มีจะหมดลง .... ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่เป็นเรื่องจริงข

การลดกระแสเงินสดจ่ายส่วนบุคคล

เศรษฐกิจกระแสเงินสด หรือที่บางคนเรียกว่าเกมกระแสเงินสดนั้น มีหลักการสำคัญคือ กระแสเงินสดจ่าย ต้องน้อยกว่ากระแสเงินสดรับเสมอ ถ้าหากมันไม่เป็นตามนี้ ทรัพย์สินของเราจะค่อยๆหมดลง และเราก็จะล้มละลายในที่สุด ก่อนที่ผมจะเขียนรายละเอียดในเรื่องนี้ต่อไป ต้องขอแก้ความเข้าใจผิดใหญ่ๆของคนไทย 2 เรื่องก่อนคือ 1. คนมักคิดว่า ถ้ามีรายได้เยอะๆก็จะแปลว่ารวย   จริงๆเรื่องนี้ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งเรื่องคือรายจ่าย เราต้องจัดการไปด้วยกัน คนที่มีอิสระภาพทางการเงิน ไม่จำเป็นต้องมีรายได้เยอะแยะมากมาย แค่รายจ่ายน้อยกว่ารายได้ที่มีสม่ำเสมอก็พอแล้ว คนที่มีรายได้มากแต่รายจ่ายมากกว่ามีเยอะแยะไป   ครึ่งแรก เราต้องทำให้ได้ก่อน คือการจ่าย น้อยกว่าที่เราหาได้ " เสมอ "  2. คนคิดว่าการประหยัด จะทำให้เราร่ำรวย จริงๆแล้วการประหยัดเกินงาม ที่เรียกว่าความตระหนี่นั้น กลับจะทำให้คนๆนั้นจนลงด้วยซ้ำ เพราะคนเหล่านี้จะตัดงบลงทุนออกก่อน เช่น การพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ การพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างสายสัมพันธ์   ฯลฯ เมื่อทำเช่นนี

เศรษฐกิจกระแสเงินสด

ไม่มีบ้าน เราเช่าได้ ไม่มีรถ เราเช่าได้ ไม่มีข้าว เงินซื้อได้ เจ็บป่วย เงินช่วยได้ จริงๆแล้ว ชีวิตคนๆหนึ่งในปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องการอะไรเลย ยกเว้น เงินสด เงินสด เงินสด เราทุกคนคิดแต่เรื่องที่จะรวย จนบางคนพลาด มีของเต็มบ้าน รถสองคัน แต่กลับไม่มีเงินสดเพียงพอ เมื่อเราไม่มีเงินสด หายนะก็กำลังจะเข้ามาในชีวิต ทั้งปัญหาการเงิน หนี้ ครอบครัว ความรัก งาน ทุกอย่างจะถาโถม เวลาเราไม่มีเงินสด การบริหาร " เงินสดจ่าย " ให้น้อยกว่า " เงินสดรับ " ในทุกๆเดือน  คือหัวใจของเศรษฐกิจกระแสเงินสด

การไม่ตัดสินใจ คือการตัดสินใจอย่างหนึ่ง

โลกในยุคที่เรามีทางเลือกมากมายเช่นในปัจจุบัน การตัดสินใจเลือกในทางหนึ่งทางใดก็ยิ่งลำบากใจต่อเรามากขึ้น อย่างที่เขาว่า มีให้เลือกน้อยไปก็ลำบาก มีให้เลือกมากไปก็ลำบาก มนุษย์เราปัจจุบันมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจมากมายในแต่ละวัน ดังนั้นการตัดสินใจในเรื่องยากๆ ซับซ้อน ให้ได้ทันการณ์นั้น ยิ่งจะอยู่ห่างไกลใครบางคนออกไปทุกที " คุณค่า " ของการได้ตัดสินใจเลือกลงไปแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกในทางเลือกใดนั้นมีอยู่หลายประการ วันนี้เรามาดูกันว่า การตัดสินใจเลือกอะไรไปอย่างนึงเลย อย่างสุดความสามารถในขณะนั้นแล้ว จะให้ผลดีกับเราเมื่อเทียบกับการที่เรายังรีๆรอๆไม่เลือกอะไรลงไปอย่างไรบ้าง 1. การเลือกแล้ว ทำให้เราสามารถตัดทรัพยากรที่ต้องกระจายออกไปในเรื่องอื่นๆ มารวมอยู่เฉพาะให้กับทางที่เราเลือก   ทรัพยากรบางอย่างเช่น เวลา เงินทุน ความสัมพันธ์ ความคิด จะได้ถูกนำมาโฟกัสให้กับทางที่เราเลือกแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เรามีพลังงานที่มากพอกับการผลักดันทางเลือกนั้นให้ประสบความสำเร็จ 2. การเลือกแล้ว ช่วยลดงานและภาระของจิตใจ   การที่เรายังไม่เลือกลงไป จะทำให้เราเอาใจเรา

มือใหม่ มือเก๋า

Check list 7 ข้อ คุณคือมือใหม่ หรือ มือเก๋า 1. มือใหม่ จำราคาบาท / หุ้น มือเก๋า จำ Market cap. ของหุ้น 2. มือใหม่ ดูค่า P/E มือเก๋า ดูค่า ROE 3. มือใหม่ ดูกำไรสุทธิ มือเก๋า ดูกระแสเงินลดจากการดำเนินงาน 4. มือใหม่ กำไรเฉพาะเมื่อหุ้นขึ้น มือเก๋า กำไรสองทิศทาง 5. มือใหม่ หาเงินมาซื้อหุ้นใหม่ได้จำกัด มือเก๋า โยกเงินเก่ง 6. มือใหม่ รอหุ้นรีบาวด์ไปที่เดิม มือเก๋า สามารถเล่นกับหุ้น all time high 7. มือใหม่ รอดูให้พร้อมๆกับคนอื่น มือเก๋า ให้คนอื่นเป็นดาวน์ไลน์ มือใหม่หรือมือเก๋า คุณเลือกได้ !

บุรีรัมย์ คุณทำได้

ผมเคยผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อ 7 ปีก่อน ที่เรียกว่าผ่าน เพราะไม่ได้จอดแวะ ไม่ได้เป็นคนชอบดูปราสาทหิน จังหวัดนี้ยากจน อันนี้ทุกคนรู้ดี เพราะขนาดผมคุยกับคนขับแท็คซี่ไม่กี่คำ ก็ยังรู้ แต่วันนี้บุรีรัมย์กลับกำลังน่าสนใจ กว่าหลายจังหวัดที่ติดกับชายทะเลด้วยซ้ำ เพราะ บุรีรัมย์วันนี้ ไม่ได้ขายแรงงาน หรือขายข้าว วันนี้ บุรีรัมย์ กำลังขาย " ประสบการณ์ " และ " สุขภาพ "  เมื่อก่อนเราเชื่อกันจริงๆนะ ว่าการไปที่ภูเขา หรือชายทะเล ไปสูดอากาศดีๆ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีสุขภาวะ เดี๋ยวนี้มันต้องลงมือทำ วัดได้ ทดสอบได้ การเปลี่ยนแปลงจะต้องมากพอ ลงมือจริง แข่งขันได้ ไม่ใช่แค่การไปหายใจยาวๆ แล้วใช้ความเชื่อเอา ( ล้วนๆ ) วันนี้ พี่น้องชาวบุรีรัมย์ ได้ประจักษ์แล้วว่า อดีต สส . ท่านหนึ่ง สามารถพลิกอนาคตผู้สนับสนุนของเขาได้ด้วย " มือ " และ " การลงทุน " ไม่ใช่ด้วย " ปาก "  การลงมือทำนั้น ให้สิ่งที่คนที่เอาแต่อ่าน เก็บไปคิด ตรึกตรอง แล้วเม้นท์ เพียงอย่างเดียวไม่ได้ นั่นคือ &qu

7 วิธีชะลอความร่ำรวย

รวยเร็ว หรือ รวยช้า ( จนไม่เคยได้สัมผัส ) ล้วนแต่มีวิธีการของมัน   วันนี้ เรามาดูกันว่า การจะเลื่อนความร่ำรวยออกไปนั้น มีเทคนิคและวิธีการกันอย่างไร 1. ไม่เชื่อว่า ความรวยแบบรวดเร็วสามารถทำได้   เหมือนการขับรถ ที่เราสามารถเลือกใช้ทางด่วน หรือทางติด 2. ไม่เตรียมค่าผ่านทาง ทางด่วน มีค่าผ่านทางด้วยเสมอ ( ไม่งั้นมันจะด่วนได้อย่างไร ) ซึ่งอาจจะเป็นอย่างเดียวหรือหลายๆอย่าง ทั้ง connection เงินทุน ค่าใช้จ่ายแรกเข้า ความรู้ ฯลฯ 3. ไม่ตัดสินใจ ทางด่วนต้องไม่ค่อยมีคนใช้ คุณจะรอคนอื่นคอนเฟิร์มได้อย่างไรล่ะ 4. รถไม่แรงพอ ขึ้นทางด่วน แต่รถสามารถขับได้แค่ 40 กม ./ ชม . ใช้ทางธรรมดาดีกว่ามั้ย 5. ไม่มี exit point ทางด่วน เนื้อหาสาระไม่ได้อยู่ที่ความด่วนตรงข้างบน สาระสำคัญคือ " เป้าหมาย " หรือทางลงที่เราจะไปให้ถึง 6. อย่าใช้ทางด่วนที่ยังไม่มีใครเคยใช้   ทางด่วนนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มีคนทำได้แล้ว เราแค่นำมาประยุกต์ใช้ ไม่ควรทำตัวเป็นหนูทดลอง ให้นักวิจัยนักประดิษฐ์เขาทำไป 7. ถ้าแน่ใจแล้วว่าไม่มีทางด่วน ชีวิตก