SIRI บันไดสี่ขั้นสู่ความสำเร็จ

SIRI บันไดสี่ขั้นสู่ความสำเร็จ

ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่ชอบความสำเร็จ 

หรือแม้ว่าบางคนจะไม่คิดถึงขนาดว่า ชีวิตฉันจะต้องประสบความสำเร็จ ก็ไม่อยากที่จะล้มเหลว

ความสำเร็จและความล้มเหลวมันอยู่แยกกันคนละขั้ว ดังนั้น การพยายามเดินไปบนเส้นทางของความสำเร็จ อย่างน้อย ก็เป็นการรับประกันอย่างหนึ่งว่า ชีวิตของเราจะได้ห่างไกลจากความล้มเหลว

เกริ่นมาซะยาวก็เพื่อที่จะเข้าเรื่อง 

ชื่อเรื่องในตอนนี้คิดกันนานมาก เพราะนอกจากที่มันจะต้องเกี่ยวข้องกับขั้นตอนที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จในชีวิตแล้ว ผมยังอยากที่จะให้มันเป็นคำที่มีความหมายดีๆและจำง่าย สุดท้ายก็มาลงเอยที่คำว่า "SIRI" ซึ่งไม่ใช่ SIRI ผู้ช่วยของ Apple แต่เป็น "สิริ" ในภาษาไทย ที่หมายความถึงความเป็น"สิริมงคล"

เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่า ตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัวในคำว่า "SIRI" นั้น เป็นตัวย่อของคำใดกันบ้าง

ตัวแรก "S" มาจาก Saving ที่แปลว่า "การสะสม"

น้องๆหรือใครๆที่ยังไม่ได้ประสบกับความสำเร็จก็อาจจะนึกว่าความสำเร็จนั้นต้องอาศัยโชคช่วย โชคที่ว่านี้อาจจะหมายถึงการได้เกิดในตระกูลที่ดี การมีเส้นสาย หรือการทำอะไรได้ถูกเวลา 

ผมคิดว่าความคิดที่ว่านั้นก็อาจจะถูก แต่ก็ถูกแค่เพียงครึ่งเดียว

60%ของมหาเศรษฐีในโลกปัจจุบัน มาจากความสำเร็จและการสร้างฐานะของคนเพียงชั่วรุ่นเดียว คนเหล่านี้ มีจุดร่วมที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ "การสะสม" ซึ่งไม่ได้หมายรวมแต่การสะสมทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น แต่เป็นการสะสม "ความรู้" และ "ประสบการณ์" ทั้งที่เขาเหล่านั้นเห็นว่าจะมีประโยชน์ในอนาคต หรือแม้แต่ความรู้ที่มีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้ประโยชน์อย่างไรในอนาคต การสะสมนี้ กินเวลาสั้นยาวไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล ถ้าใครที่ยัง "สะสม" มายังไม่มากพอ แม้จะประสบความสำเร็จไปแล้ว ก็ยากที่จะรักษาความสำเร็จนั้นไว้ได้

การสะสมนั้นจำเป็นต้องอาศัยความอดทนอย่างสูง ในระยะเวลานาน เคล็ดลับในการเปลี่ยน "ยาขม" ให้ความอดทนนี้เป็นยาหวานง่ายๆ นั่นคือ "การทำในสิ่งที่รัก" หรือ "การเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่" ทั้งต่อ "ตัวเอง" และ "ผู้อื่น"

การจะเป็นนักลงทุนที่ดี ขั้นแรก จะต้องสะสมทั้ง "เงินทุน" "ความรู้" และ "ประสบการณ์" ก่อนครับ

ถ้าถามจะถามผมว่า แล้วเราจะต้องสะสมความรู้ เงินทอง และประสบการณ์ ไปนานเท่าไหร่ จึงจะเริ่มลงทุนได้ ผมก็จะขอตอบด้วยคำย่อจากตัวอักษรตัวที่สอง "I" ที่มาจากว่า "Invest"

ความรู้ เงินทอง หรือแม้แต่ประสบการณ์ที่เราสะสมไว้ จะไม่เป็นของที่มีค่าแต่อย่างใดเลย ถ้าเราไม่นำมันมาลงมือ "ทำ" ให้เกิดผล การทำความรู้และเงินทองให้เกิดผลเป็นกำไรสำหรับนักลงทุนแล้วเรียกว่า "Investment"

Investment ไม่ได้จำกัดอยู่แต่การลงทุนทางการเงินเท่านั้น เพราะการลงทุนนั้น ครอบคลุมกิจกรรมทุกๆอย่าง ที่เราต้องเสียสละเวลา เงินทอง หรือทรัพยากรใดๆไปก่อน โดยยังไม่แน่ใจว่า ในอนาคตนั้นจะได้ผลคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้เสียไปหรือไม่

ถ้าจะถามผมว่า แล้วเราจะเริ่มลงทุนครั้งแรกได้เมื่อไหร่ ผมก็ขอตอบว่า เมื่อเราสามารถปกป้องตัวเราเองจากการ "ขาดทุน" ได้แล้ว

ผมเคยต้องไปเดิน trekking ที่ Everest base camp มาก่อน ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าจะต้องไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างไรเป็นอันดับแรก แต่ผมคิดว่า ถ้าแย่ที่สุด "ทำอย่างไรผมถึงจะไม่ตาย" เมื่อผมหาความรู้ และประสบการณ์ และฟิต จนแน่ใจพอที่ว่าผมจะไม่ไปตายบนนั้นแน่แล้ว ผมจึงลงมือทำ

เวลาเรียนว่ายน้ำ คุณครูจะไม่สอนเด็กให้ว่ายได้เร็ว หรือว่ายอย่างไรให้สวยงามก่อน อันดับแรก คุณครูจะต้องสอนให้เด็กช่วยตัวเองจากการจมน้ำหรือไม่จมให้ได้ก่อน เมื่อไม่จมซะแล้ว อย่างไรก็สามารถหัดไปให้ว่ายจนถึงฝั่งกันจนได้

เวลาเรียนยูโด คุณครูจะไม่สอนว่าเราจะทุ่มคู่ต่อสู้ได้อย่างไรให้ชนะได้ก่อน แต่เราจะต้องเรียนวิชา "การล้ม" ล้มอย่างไรให้ปลอดภัยก่อน เราจึงคิดที่จะไปทุ่มคนอื่นได้

คนเราไม่มีทางที่จะทำสำเร็จในทุกๆอย่างได้สมบูรณ์แบบจากการกระทำเพียงในครั้งแรก ดังนั้น แค่รู้จัก "การป้องกันความเสียหาย" ได้ เราก็พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งต่างๆได้แล้ว โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรอ จนแน่ใจถึงความสำเร็จ 

"ความผิดพลาดที่ไม่ทำให้ถึงตาย" จะทำให้เรา "แข็งแกร่งขึ้น" และ "ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น" ด้วยซ้ำ

เมื่อเราผิดพลาด เราก็จะยิ่งใกล้ความสำเร็จ และเมื่อสำเร็จแล้วเราต้อง "ทำซ้ำ"

การทำซ้ำ คือตัวย่อของอักษรตัวที่สาม "R" ที่มาจากคำว่า "Reinvest" 

Reinvest คือหัวใจสำคัญในการขยายผลแห่งความสำเร็จ ที่ได้มาอย่างยากเย็นนั้น

Reinvest ในการทำงาน หมายถึง การทำงานที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว ให้ดีขึ้นๆไปอีก

Reinvest ในการทำธุรกิจ คือการขยายสาขา สร้างตัวแทนจำหน่าย เพิ่มช่องทางจำหน่าย ของสินค้าที่ได้รับความนิยมแล้ว

Reinvest ในการลงทุน คือการลงทุนซ้ำในบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีไว้ "โดยไม่ขายออก" 

ในโลกนี้อาจจะมีหลายคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายล้วนเกิดมาจากสิ่งที่เรียกว่า "การทำซ้ำ" ทั้งสิ้น

ไหนๆก็ยากลำบากกับมันมามากแล้ว ความสำเร็จแค่ครั้งเดียวไม่คุ้มค่าเหนื่อยอย่างแน่นอน สำเร็จแล้วต้อง "ทำซ้ำ" และทำให้ดียิ่งๆขึ้นด้วย

หลังจากที่เราประสบความสำเร็จแล้ว น่าเสียดายนะครับ ถ้าเรารักษามันไว้ไม่ได้ การรักษาความสำเร็จนั้นใช้อักษรย่อตัวสุดท้าย "I" ที่มาจา Integrity การรักษาความดีที่ได้ทำมาไว้

Integrity is a concept of consistency of actions, values, methods, measures, principles, and morals. แปลเป็นไทยง่ายๆก็คือ การรักษาความดีนั้นไว้

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และสามารถรักษาไว้ได้นานนั้น  ไม่ได้ขึ้นกับว่าความสำเร็จนั้นเกิดประโยชน์ขึ้นกับตัวเราเท่าไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า ความสำเร็จของเรานั้น เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเท่าไหร่ ความสำเร็จของเรา ที่ไปทำความเดือดร้อนรำคาญหรือสร้างความสูญเสียให้กับสังคมหรือผู้อื่น อาจจะคงอยู่ได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ในที่สุดจะต้องมีคนมาทำลายมันทิ้งอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม ความสำเร็จของเราที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย จะยิ่งดึงผู้คนทั้งหลายให้มาใช้ประโยชน์ มาร่วมสร้าง รักษา และต่อเติม ความสำเร็จเบื้องตนของเราเอง ให้กลายเป็นความสำเร็จของหน่วยงาน องค์กร หรือของประเทศเรา หรือโลกของเราได้

Saving - Invest - Reinvest - Integrity จะต้องทำเป็นลำดับขั้นตอน จึงจะเกิดสิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

ถ้าคิดอะไรไม่ออก คราวหน้า คิดถึง "SIRI" ไว้นะครับ

"เธอช่วยคุณได้"


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ราคา คุณค่า กับ มูลค่า (Price, Value and Worth)

การลงทุนกับการเลี้ยงวัว

ข้อมูล หรือ ข้อเท็จจริง หรือ ข้อคิดเห็น (Information, Fact or Opinion)