การทำงานของดอกเบี้ยทบต้น
หากท่านตกลงปลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะให้เงินมันช่วยทำงานแทนท่านบ้างแล้ว ปัญหาต่อมาของเราก็คือ "แล้วจะให้มันทำงานยังไงล่ะ" เราจะควบคุมให้มันทำงานด้วยตัวเอง หรือว่า จะฝากเงินไปให้คนอื่นช่วยเลี้ยงดี
ปัญหานี้คนธรรมดาอย่างเราๆนั้นเป็นกันทุกคน เพราะโรงเรียนหรือหลักสูตรที่เราไปเรียนในโรงเรียนนั้น ฝึกเราให้เป็นลูกจ้างที่เชี่ยวชาญในอนาคต เราจึงต้องทำงานด้วยตนเอง บางโรงเรียนนั้นอาจจะดีขึ้นคือสอนวิธีทำเงิน คือเรียนวิธีทำมาหากินไปเลย แต่แทบไม่มีโรงเรียนไหนเลยที่สอนวิธีให้เงินทำงาน ดังนั้นท่านจึงอย่าได้ตกใจเลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังไม่รู้หรือรู้ไม่มากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่การเรียนวิชาบริหารธุรกิจ ก็เป็นไปเพื่อการจัดการธุรกิจเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องการให้เงินไปทำงาน
ผมไม่แน่ใจว่าหลักการที่จะมานำเสนอต่อไปนี้จะยังเป็นวิธีการที่ดีที่สุดต่อไปในอนาคตหรือไม่ แต่ในอดีตจนปัจจุบัน มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า หากท่านอยากให้เงินทำงานให้เกิดประโยชน์กับตัวท่านได้อย่างดีที่สุด การให้มันทำงานผ่านหลักการของ
“ดอกเบี้ยทบต้น”
นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด เท่าที่เรามีในปัจจุบัน
ดอกเบี้ยทบต้นนั้นทำงานอย่างไร
ผมเชื่อแน่ว่าหลายๆท่านคงไม่ชอบวิชาเลข ผมเองก็ไม่ชอบเช่นกัน แต่เนื่องจากสมการของดอกเบี้ยทบต้นใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่ง่ายที่สุด ผมคิดว่าไม่น่าเกินความรู้ทางคณิตศาสตร์ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผมจึงคิดว่ามันน่าจะเอามากล่าวถึงไว้ในการวิเคราะห์แล้ว ไม่น่าจะทำให้บทความนี้ยุ่งยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
ในการสร้างผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยทบต้น
ผลตอบแทนทั้งหมดที่ได้ = เงินต้นตั้งต้น x ผลตอบแทนที่ทำได้ต่อปี x จำนวนปีทั้งหมดที่ลงทุน
เมื่อมองเข้าไปในธรรมชาติของสมการ อย่างแรก คือสมการนี้มีเครื่องหมายเป็นตัวคูณทั้งหมด เครื่องหมายคูณในสมการนี้ให้ผลดีอย่างไร
หากท่านลองเอา 2 + 2 + 2 + 2 + 2…. เช่นนี้ไปเรื่อยๆ เทียบกันกับ 2 x 2 x 2 x 2 x 2… ไปเรื่อยๆ การเพิ่มขึ้นของผลบวกในแต่ละปีผลลัพธ์จะช้ากว่าการคูณมาก ในวิธีแรก ห้าปีผ่านไปผลตอบแทนทั้งหมดที่ได้จะ = 10 ในขณะที่ในวิธีที่สองจะได้ = 32 ยิ่งนานไปความแตกต่างของผลตอบแทนทั้งหมดที่ได้ ของทั้งสองสมการนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น
สมการผลตอบแทนที่มีเฉพาะเครื่องหมายบวกนั้นคล้ายๆสมการของการทำเงินจากงานของเรา (เงินเดือน) และนักลงทุนบางคนที่ซื้อขายเอากำไรส่วนต่างรายวัน ซื้อหุ้นบางตัวแล้วได้กำไรเป็นครั้งๆ ถึงจำนวนที่เราเอามาบวกกันจะมากอย่างไรก็ตาม แต่เราจะต้องลงมือทำเพิ่มทีละอัน ทีละอัน ไปตลอดชีวิต จะหลับไปไม่ได้ จะเบื่อไม่ได้ จะเลิกไม่ได้
ทีนี้เราลองมาเข้าใจธรรมชาติของสมการผลตอบแทนที่มีเฉพาะตัวคูณแบบอนุกรมอย่างวิธีที่สองบ้าง
ลักษณะอย่างแรกคือ ผลตอบแทนรวมจะถูกกำหนดจากตัวเลขทุกตัวรวมกัน ไม่เฉพาะแต่เพียงตัวใดตัวหนึ่ง เช่น 2 x 3 x 4 = 8 x 3 x1 จะเปลี่ยนตัวเลขหรือสลับที่กันอย่างไรก็ได้
การให้เงินทำงานแบบดอกเบี้ยทบต้นนั้น เราจะต้องไม่มองว่าตัวเลขใดสำคัญกว่าอีกตัวเลขอื่นๆที่เหลือ เช่น เราต้องไม่มองว่าผลตอบแทนต่อปีสำคัญกว่าเงินต้น ไม่มองว่าเงินต้นสำคัญกว่าจำนวนปีที่ลงทุน ไม่มองผลตอบแทนรายปีสำคัญกว่าจำนวนปีที่ไปลงทุน เป็นต้น เราควรมองว่าตัวเลขในสมการทุกตัวนั้นสำคัญเท่าเทียมกันหมด เราสามารถเพิ่มตัวไหนได้ก็เพิ่มตัวนั้น เพิ่มตัวนึงไปจนมันชักยากที่จะเพิ่มแล้ว เช่นผลตอบแทนรายปีสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยไปแล้ว เราก็ควรหันไปเพิ่มเงินต้น หรือ จำนวนปีที่ไปลงทุนแทน
ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 20% ต่อปีทุกปี 10 ปี มีค่าใกล้เคียงการลงทุนได้แค่ 10% ไป 20 ปี การลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 20% ต่อปีในบางปีนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่การลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี "ทบต้น" และ “ทุกปี” นั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะนั่นหมายความว่าในปีที่ตลาดดี เราต้องทำให้ได้มากกว่า 20% ในขณะที่ปีที่ตลาดไม่ดี เรายังต้องไม่ขาดทุนหรือยังต้องทำกำไรให้ได้ซัก 10% และคำว่าทบต้น ยังหมายถึงเราจะต้องเอา “กำไร” กลับไปลงทุนซ้ำ “ทั้งหมด” และ “ตลอดเวลา”
จุดสำคัญอีกประการของแนวคิดแบบดอกเบี้ยทบต้นคือ ผลกระทบจากการเอาตัวเลขติดลบเข้ามาในสมการนั้นสูงมากกว่าการบวกเข้าไปรายครั้ง ยิ่งการลงทุนที่ติดลบเกิดขึ้นในปีหลังๆด้วยแล้ว พลังทวีของมันจะยิ่งมีผลกระทบต่อพอร์ทของการลงทุนที่มากขึ้น ตัวเลขเงินต้นของเราตอนเริ่มแรกคงไม่ติดลบ เวลาในการลงทุนก็ไม่สามารถใส่ค่าเป็นลบ ค่าที่สามารถเป็นลบได้มีเพียงตัวเดียวคือผลตอบแทนรายปี ดังนั้นการลงทุนโดยอาศัยแนวคิดนี้หัวใจสำคัญที่สุดคือ
"อย่าขาดทุน" "อย่าขาดทุน" และ "อย่าขาดทุน"
วอร์เรน บัฟเฟต ลงทุนด้วยเงินต้นที่มากที่สุดที่เขาจะหามาได้ในตอนแรก เขายังเอาเงินญาติๆมาลงทุน ในเวลาต่อมาเขาสามารถเติมเงินต้นของการลงทุนได้อีกเรื่อยๆ ผ่าน float ของบริษัทประกันภัยที่เขาไปซื้อมา ผลตอบแทนรายปีต่อปีระยะยาวของเขาก็สูงที่สุดเท่าที่ผ่านมา บางปีก็น้อยบ้าง บางปีก็มากบ้าง แต่น้อยปีมากที่จะมีการขาดทุนหรือมีเครื่องหมายติดลบ ระยะเวลาลงทุนของเขาก็นานที่สุดเท่าที่มีมาเช่นกัน เขาขายหุ้นบางตัวไปบ้าง ซื้อหุ้นบางตัวเพิ่มบ้าง แต่ยังคงลงทุนใกล้เคียง 100% ของความมั่งคั่งที่เขามีอยู่ตลอดเวลา
สมการดอกเบี้ยทบต้นนี้มีความเป็นกลางเสมอเหมือนกับคนทุกคน คือใครนำไปใช้ก็ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน หากตัวเลขที่แทนลงในสมการนั้นมีค่าเท่ากัน หากท่านอยากมีความมั่งคั่งใกล้เคียงกับคนที่รวยที่สุดในโลกคนนี้แล้ว ก็ลองคิดและวางแผนเอาว่าจะทำอย่างไรกับการลงทุนในแบบที่ท่านทำอยู่ในขณะนี้
รูปแบบนั้นไม่สำคัญเท่าความเข้าใจในสิ่งที่ทำ หากท่านเข้าใจถึงหัวใจของสิ่งที่ทำอยู่แล้ว จะดัดแปลงปรับปรุงในส่วนที่ไม่ใช่หัวใจของมันบ้าง มันจะไม่มีผลกระทบกับผลลัพธ์สุดท้ายมากนัก ตรงกันข้าม หากท่านคงไว้เฉพาะรูปแบบ แต่ไม่เข้าใจหัวใจสำคัญ ก็ยากที่จะทำสิ่งนั้นให้ประสบความสำเร็จได้
ดอกเบี้ยทบต้นนั้นมีพลังมากในระยะท้ายๆ เมื่อเงินต้นทบรวมกับกำไรที่ผ่านมา กับประสบการณ์และเวลาที่ทำให้เราแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ ความมั่งคั่งนั้นแทบจะไม่ไปไหนเสีย
"รวยอย่างเต่าตัวใหญ่" ยังไงก็ก้าวได้ไกลกว่า "กระต่ายตัวเล็ก" ที่วิ่งมั่วอยู่ครับ
ความคิดเห็น